“เซาธ์เกต” ไม่เร่ง “สเตอร์ลิง”กลับเข้าแคมป์ ฟุตบอลโลก 2022
แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ยืนยันว่า ไม่บีบคั้น ราฮีม สเตอร์ลิง ให้เดินทางกลับมากาตาร์
สเตอร์ลิง ออกจากทีมเดินทางกลับอังกฤษ หลังรู้ข่าวไม่ดีว่าครอบครัว ถูกคนร้ายขึ้นบ้าน ช่วงเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา และยังต้องอยู่ที่ลอนดอน เพื่อให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า
ล่าสุด เดลี่ เมล สื่ออังกฤษ รายงานว่า เซาธ์เกต ได้ออกมายืนยันว่า จะไม่บีบคั้นหรือเร่ง เอาคำตอบจาก สเตอร์ลิงว่าจะเดินทางกลับมาร่วมทีมที่ประเทศกาตาร์ได้เมื่อไร เพราะรู้ดีว่าความปลอดภัยของครอบครัว ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
สำหรับอังกฤษ จะลงเล่นรอบ 8 ทีมสุดท้ายพบกับ ฝรั่งเศส วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งสื่อคาดกันว่าสเตอร์ลิง ไม่น่าจะกลับมาร่วมทีมทันเวลา
เหตุผลสุดช็อก! สื่อดังเผยต้นตอทำ “สเตอร์ลิง” จำต้องถอนตัวทีมชาติอังกฤษ
สร้างความแปลกใจให้กับแฟนบอล “สิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ หลังจากที่ ราฮีม สเตอร์ลิงดาวเตะคนสำคัญได้ขอถอนตัวจากการลงเล่นในเกมที่พบกับ เซเนกัล ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบ 16 ทีมสุดท้าย
โดย ทีมชาติอังกฤษ ได้เปิดเผยก่อนแข่งขันว่า ดาวเตะวัย 27 ปี มีปัญหาครอบครัว และจำเป็นจะต้องต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อจัดการกับปัญหาทุกอย่าง ทำให้พลาดลงเล่นในเกมสำคัญเมื่อคืนที่ผ่านมา
ล่าสุด สื่อดังแดนผู้ดีหลายสำนัก ได้เปิดเผยถึงสาเหตุทั้งหมดว่าปัญหาดังกล่าวก็คือ บ้านของเจ้าตัวนั้นถูกมิจฉาชีพบุก ชิงทรัพย์ ซึ่งภายในบ้านมี เพจ มิเลียน แฟนสาว และลูกอีก 2 คน ที่ต้องเจอกับเรื่องน่าหวาดกลัว
ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพ ทั้งหมดได้ติดอาวุธบุกเข้า ไปภายในบ้านของแข้งดังที่ตั้งอยู่ห่าง จากสนามฝึกซ้อมของเชลซี ในเมืองค็อบแฮม ไม่ไกล โดยมีเป้าหมายคือ นาฬิกาข้อมือหลายเรือน มูลค่ากว่า 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 12.8 ล้านบาท)
เหตุการณ์ชิงทรัพย์ เกิดขึ้นในช่วงคืนวันเสาร์ที่ 3 ธ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่มีการยืนยันว่า แฟนสาวของเจ้าตัวได้ประจันหน้ากับมิจฉาชีพหรือไม่ แต่เธอเป็นคนกดปุ่มขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพหนีไปพร้อมสิ่งของ
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดที่เกิดเหตุเผยว่า “มันเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจ และกระทบต่อจิตใจทุกคนในครอบครัว นั่นทำให้ ราฮีม ต้องกลับมาอยู่เคียงข้างเธอด้วยตัวเอง และความหวังดีเมื่อรู้ข่าว”
“การอยู่ห่างจากครอบครัว โดยทิ้งให้คนรัก และลูกๆอยู่บ้าน เมื่อแก๊งมิจฉาชีพติดอาวุธบุกรุก เป็นความรู้สึกที่ยากเกินคำพรรณนา ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ได้รับอันตราย มีเพียงแต่ นาฬิกาหลายเรือน ราคา 3 แสนปอนด์ ที่ถูกนำไป”
ทำความรู้จักประวัติของ ราฮีม สเตอร์ลิง ปีกชาวอังกฤษที่ถูก ลิเวอร์พูล
ปลุกปั้นจนได้ดี และได้ร่วมกองทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนลงเอย ซบ เชลซี ในตอนนี้
ข้อมูลส่วนตัว ราฮีม สเตอร์ลิง
ชื่อจริง : ราฮีม ชาควิลล์ สเตอร์ลิง(Raheem Shaquille Akomwetch Sterling)
เกิด : 8 ธันวาคม 1994, คิงส์ตัน, จาเมก้า
อายุ : 27 ปี
ส่วนสูง : 172 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : ปีก, กองกลางตัวรุก
เส้นทางลูกหนัง
สมัยที่ยังเป็นเด็ก สเตอร์ลิง เคยเล่นให้ อัลฟ่า แอนด์ โอเมก้า ซึ่งเป็นทีมเยาวชนในย่านท้องถิ่น โดยเขาเล่นกับทีมนั้น 4 ปี และทำผลงานได้ สะดุดตาจน ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ดึงเขาไปเข้าอะคาเดมี่ในตอนที่เขา มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบเท่านั้น
สเตอร์ลิงยังคงแสดงให้เห็นถึง พัฒนาการที่เหมาะสมที่สุดจนไปเข้าตาแมวมอง ของอีกทั้ง ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, เชลซี, ฟูแล่ม และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะไปซบ ลิเวอร์พูล ในช่วงกุมภาพันธ์ปี 2010 โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณแม่ ของเขาแนะนำว่าอย่าเลือกย้ายไปเล่น ให้ทีมในย่านท้องถิ่น เพื่อที่จะได้หนีจากแก๊งอันธพาล ในกรุงลอนดอนได้
450,000 คือเงินที่ ลิเวอร์พูล จ่ายให้ ควีนส์ปาร์ค ในตอนนั้น โดยมีเงื่อนไขที่จะเพิ่มเป็น 2 ล้านปอนด์ได้หากเขาลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ครบตามที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งหลังจากเพาะบ่มฝีเท้าอยู่พักหนึ่ง สเตอร์ลิงได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ด้วยการลงเป็นตัวสำรองในเกมลีกกับ วีแกน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ปี 2012 โดยที่ตอนนั้นเขามีอายุ 17 ปีกับ 107 วัน จนทำให้เขาเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่เล่นให้ ลิเวอร์พูล
หลังได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ไป 3 นัดในทุกรายการเมื่อซีซั่น 2011-12 สเตอร์ลิงได้รับโอกาสลงสนามกับทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มากขึ้นในฤดูกาลต่อมา โดยเขาได้ลงเล่นไป 36 นัดในทุกรายการของฤดูกาล 2012-13 พร้อมกับทำได้ 2 ประตู ก่อนที่ซีซั่น 2013-14 จะได้ลงสนามในทุกรายการ 38 นัด พร้อมกับทำได้ 10 ลูก
หลังจากทำผลงานได้สะดุดตาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ “เดอะ ค็อป” คาดหวังว่า สเตอร์ลิงจะเป็นแกนหลักที่นำทีมกลับไปสู่ความสำเร็จได้ ซึ่งในฤดูกาล 2014-15 เขายังคงเล่นได้น่าประทับใจด้วยการทำไป 11 ประตูจากการลงเล่น 52 นัดในทุกรายการ
อย่างไรก็ตาม ช่วงซัมเมอร์ของปี 2015 สถานะของเขากับการเป็นฮีโร่
ในสายตาของแฟน ลิเวอร์พูล หลายคนก็หายไปทันที หลังจากเจ้าตัวแสดง ความต้องการที่จะย้ายทีมจากการที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ความสนใจในตัวเขา โดยว่ากันว่า สเตอร์ลิงถึงขั้นขอให้ ลิเวอร์พูล ไม่ใส่ชื่อเขาในทีมชุดทัวร์ช่วงปรี-ซีซั่นที่ทวีปเอเชียด้วย
ท้ายที่สุดแล้วในเดือนกรกฎาคม 2015 สเตอร์ลิงได้ไปใส่เสื้อของ แมนฯ ซิตี้ สมใจด้วยค่าตัวใน พื้นฐาน 44 ล้านปอนด์ ซึ่งในช่วง 2 ฤดูกาลแรกนั้นฟอร์มของเขายังไม่ถึงกับขนาดคุ้มค่าตัว เท่าไหร่ จากการทำ 11 ประตูใน 47 นัดของทุกรายการเมื่อฤดูกาล 2015-16 กับผลงาน 10 ประตูจาก 47 นัดของทุกรายการในซีซั่น 2016-17
สเตอร์ลิง มาระเบิดฟอร์มเก่งได้ในซีซั่น 2017-18 ด้วยการทำไป 23 ประตูจาก 46 นัดในทุกรายการ ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นการยิงในลีกได้ 18 ลูก ทำให้เขาได้สัมผัสกับแชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรก แถมเขายังเป็นรองดาวซัลโวของทีมในซีซั่นนั้นด้วย โดยเป็นรองเพียงแต่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ทำไป 30 ลูก
ขณะที่ในฤดูกาล 2018-19 สเตอร์ลิงยังรักษาฟอร์มเก่ง ได้ด้วยการกดไป 25 ประตูจากการลงเล่น 15 นัดในทุกรายการ โดยหน นี้เขาได้อีกทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ อีเอฟแอล คัพ ร่วมกับทีม ส่วนซีซั่น 2019-20 เขาทำผลงานได้เหนือกว่านั้นอีกด้วยการทำได้ 31 ประตูจาก 52 นัดในทุกรายการ
ถึงกระนั้น ในเวลาต่อมากราฟของ สเตอร์ลิงก็ดิ่งลง ในซีซั่น 2020-21 เขาทำได้ 14 ประตูจากการลงเล่น 31 นัดในทุกรายการ และพอฤดูกาล 2021-22 ตัวเลขของเขาถึงจะดียิ่งขึ้นด้วยจำนวน 17 ประตูจาก 47 นัดของทุกรายการ แต่มันก็ยังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับฟอร์มเก่า ๆ ของเจ้าตัว
เดือนกรกฎาคม 2022 ช่วงเวลาของ สเตอร์ลิงกับ แมนฯ ซิตี้ ก็จบลงที่ 7 ปี หลังจาก เชลซี ควักเงิน 47.5 ล้านปอนด์เพื่อดึงเขาไปร่วมกองทัพ ซึ่งฟอร์มในช่วงต้นซีซั่นของเขายังไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก และต้องรอดูว่าเขาจะเรียกฟอร์มเก่งได้หรือไม่
ผลงานทีมชาติ
ราฮีม สเตอร์ลิง ปีก เชลซี
แม้ว่าจะเกิดที่จาเมก้า แต่ด้วยความที่มาอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ 5 ขวบทำให้เขาได้สัญชาติอังกฤษด้วย ซึ่ง สเตอร์ลิงผ่านการเล่นให้ทีมเยาวชนของอังกฤษ หลายชุด ก่อนที่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ปี 2012 เขาจะได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ โดยเป็นเกมอุ่นเครื่องกับ ประเทศสวีเดน
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สเตอร์ลิงใช้เวลาเกือบ 3 ปีเต็มกว่าที่จะทำประตูแรก กับกองทัพ “สิงโตคำราม” ได้ โดยเกิดขึ้นในเกม ยูโร 2016 รอบคัดเลือก นัดที่ อังกฤษ คว้าชัยเหนือ ลิทัวเนีย 4-0 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ปี 2015 ขณะที่ปี 2019 ถือเป็นปีทองของเขากับทีมชาติหลังทำไป 8 ประตูจากการลงเล่น 9 นัด แต่เขาก็ยังไม่สามารถนำ อังกฤษ ไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้สักที
เกียรติประวัติ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แชมป์พรีเมียร์ลีก : 2017-18, 2018-19, 2020-21, 2021-22
แชมป์เอฟเอ คัพ : 2018-19
แชมป์ลีก คัพ / อีเอฟแอล คัพ : 2015-16, 2017-18, 2018-19, 2019-20, 2020-21
ชนะเลิศคอมมิวนิตี้ ชิลด์ : 2019
รางวัลส่วนตัว
นักเตะ ดาวรุ่งเหมาะสมที่สุดแห่งปีของลิเวอร์พูล : ปี2013-14, 2014-15
โกลเดนบอย : ปี 2014
ดาวรุ่งเหมาะสมที่สุดแห่งปีของ PFA (Young Player of the Year) : ปี 2018-19
นักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล (FWA) : ปี 2018-19